แนวโน้ม ESG ปี 2568 ในโลกที่เอียงขวา
ESG มิใช่เครื่องมือที่ใช้เพียงจัดการความเสี่ยง แต่สามารถใช้เพื่อสร้างโอกาสที่มากับปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากที่เป็นการขับเคลื่อนในแวดวงตลาดทุนที่มีความมุ่งประสงค์ให้บริษัทที่ลงทุน ดำเนินกิจการให้มีกำไรที่ดีพร้อมกันกับดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นไปด้วย ได้ก่อกำลังขึ้นจนพัฒนาเป็นวาระที่มีความเกี่ยวโยงกับฝ่ายการเมือง เนื่องจากการกำหนดนโยบายมหภาคด้าน ESG มีผลต่อทิศทางความเป็นไปของเศรษฐกิจโดยรวม
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มาจากพรรคฝ่ายขวา ประกาศจุดยืนชัดเจนต่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการยกเลิกและปรับรื้อกฎระเบียบทางสิ่งแวดล้อมหลายเรื่อง รวมทั้งหันกลับมาสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือการออกนโยบายรับรองเพศสภาพเพียงสองเพศ ซึ่งส่งผลต่อแนวทางความหลากหลาย ความเป็นธรรม และไม่ปิดกั้น (DEI) ทางสังคม หรือการออกคำสั่งให้อัยการสูงสุดยุติการบังคับใช้กฎหมายการทุจริตในต่างประเทศ (FCPA) ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางธรรมาภิบาลที่กระทบต่อธุรกิจเป็นลูกโซ่ เป็นต้น
สำหรับในสหภาพยุโรป นับจากผลการเลือกตั้งสภายุโรปเมื่อกลางปีที่แล้ว ที่พรรคขวากลางได้ครองที่นั่งมากสุดและพรรคขวาจัดได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น ก็มีสัญญาณการปรับนโยบายทางสิ่งแวดล้อมจากเขียวเข้มมาเป็นเขียวอ่อน ในรูปแบบของการเลื่อนหรือชะลอการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การเลื่อนใช้ข้อบังคับว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่า (EUDR) หรือการลดความเข้มงวดของกฎหมาย เช่น การผ่านบทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ที่ปรับลดจำนวนและเงื่อนไขของกิจการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามลง
ล่าสุด สภายุโรปกำลังจะออกข้อบังคับสารพัน (Omnibus Regulation) ที่จะควบรวมกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ ข้อบังคับอนุกรมวิธานแห่งสหภาพยุโรป (EU Taxonomy) ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2020 ซึ่งใช้แบ่งหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2022 ซึ่งใช้กำหนดรูปแบบการรายงานที่มิใช่ทางการเงินของบริษัท และบทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2024 ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องตรวจสอบผลกระทบทางลบด้านสิทธิมนุษยชนและด้านสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่า พร้อมกับการออกแนวทางที่จะทำให้การปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสามฉบับนี้ง่ายลงด้วย
สถานการณ์ที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ต่างกำลังปรับรื้อนโยบายและกฎหมายให้เอื้อประโยชน์และมุ่งเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ประเทศของตน บีบคั้นให้รัฐบาลจีน ต้องหันมากระชับความร่วมมือกับภาคเอกชนในประเทศ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่สัญชาติจีนที่มีทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีซึ่งสามารถต่อกรกับประเทศตะวันตก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ จีนได้มีการจัดเวทีพบปะระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้นำภาคเอกชน เพื่อรวมกำลังกันในการพัฒนาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ด้วยข้อได้เปรียบในระบบสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของจีน
เมื่อโลกมิได้เสรี ด้วยอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน แรงงาน เทคโนโลยี และข้อมูลได้ดังเดิม แต่เกิดการแบ่งขั้วภูมิภาค การปกป้องเทคโนโลยี การแยกห่วงโซ่การผลิต โดยมีประโยชน์ (ทางเศรษฐกิจและสังคม) ของประเทศตนเป็นที่ตั้ง ทำให้ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อโลกโดยรวม (โดยเฉพาะทางสิ่งแวดล้อม) จะถูกลำดับความสำคัญให้เป็นเรื่องรองอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ภาคธุรกิจ โดยสัญชาตญาณ มิได้ต้องการที่จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างขั้ว หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ฉุดรั้งการเติบโตของธุรกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหากำไร ฉะนั้น การปรับตัวเพื่อให้กิจการมีโอกาสในการสร้างรายได้ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด จึงเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจมุ่งหมายให้เกิดขึ้น
โดย 3 แนวโน้มสำคัญด้าน ESG ที่จะเกิดขึ้น นับจากปี ค.ศ. 2025 ได้แก่
1) หลายธุรกิจจะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะไปลดภาระการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้กิจกรรมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ต้องทำเพื่อสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มลดลง
2) ธุรกิจจะต้องมีความสามารถในการจัดทำกลยุทธ์องค์กรที่คำนึงถึงการเติบโตซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และพัฒนาขีดความสามารถในการเข้าถึงห่วงโซ่อุปทานโลกที่ไม่จำกัดขั้ว
3) การนำประเด็น ESG มาใช้เพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าจากกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย นอกเหนือจากการหารายได้กับกลุ่มลูกค้าจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการที่คำนึงถึงประเด็น ESG เพื่อนำไปสู่การสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น
เห็นได้ว่า ESG มิใช่เครื่องมือที่ใช้เพียงจัดการความเสี่ยง แต่สามารถใช้เพื่อสร้างโอกาสที่มากับปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) จากการใช้ประโยชน์ในประเด็นด้าน ESG ที่สอดคล้องกับบริบทของกิจการ เกิดเป็นผลดีทั้งกับกิจการและผู้มีส่วนได้เสียในลักษณะ “Who cares earns” (ยิ่งใส่ใจ ยิ่งได้รับ)
การดำเนินการดังกล่าว จำเป็นที่ธุรกิจต้องมีกระบวนทัศน์ (Paradigm) สำหรับใช้วางแนวขับเคลื่อนองค์กร ที่ซึ่งกิจการสามารถผนวกเรื่องความยั่งยืนเข้าเป็นเนื้อเดียวกับการดำเนินธุรกิจ โดยสถาบันไทยพัฒน์จะได้นำเสนอกรอบความคิดและทิศทาง ESG ที่ใช้ในการปรับแนวและจุดเน้นขององค์กรให้สอดรับกับขีดความสามารถของกิจการ เพื่อขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนอย่างมีสมรรถภาพในโอกาสต่อไป
[Original Link]
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มาจากพรรคฝ่ายขวา ประกาศจุดยืนชัดเจนต่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการยกเลิกและปรับรื้อกฎระเบียบทางสิ่งแวดล้อมหลายเรื่อง รวมทั้งหันกลับมาสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือการออกนโยบายรับรองเพศสภาพเพียงสองเพศ ซึ่งส่งผลต่อแนวทางความหลากหลาย ความเป็นธรรม และไม่ปิดกั้น (DEI) ทางสังคม หรือการออกคำสั่งให้อัยการสูงสุดยุติการบังคับใช้กฎหมายการทุจริตในต่างประเทศ (FCPA) ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางธรรมาภิบาลที่กระทบต่อธุรกิจเป็นลูกโซ่ เป็นต้น
สำหรับในสหภาพยุโรป นับจากผลการเลือกตั้งสภายุโรปเมื่อกลางปีที่แล้ว ที่พรรคขวากลางได้ครองที่นั่งมากสุดและพรรคขวาจัดได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น ก็มีสัญญาณการปรับนโยบายทางสิ่งแวดล้อมจากเขียวเข้มมาเป็นเขียวอ่อน ในรูปแบบของการเลื่อนหรือชะลอการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การเลื่อนใช้ข้อบังคับว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่า (EUDR) หรือการลดความเข้มงวดของกฎหมาย เช่น การผ่านบทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ที่ปรับลดจำนวนและเงื่อนไขของกิจการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามลง
ล่าสุด สภายุโรปกำลังจะออกข้อบังคับสารพัน (Omnibus Regulation) ที่จะควบรวมกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ ข้อบังคับอนุกรมวิธานแห่งสหภาพยุโรป (EU Taxonomy) ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2020 ซึ่งใช้แบ่งหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2022 ซึ่งใช้กำหนดรูปแบบการรายงานที่มิใช่ทางการเงินของบริษัท และบทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2024 ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องตรวจสอบผลกระทบทางลบด้านสิทธิมนุษยชนและด้านสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่า พร้อมกับการออกแนวทางที่จะทำให้การปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสามฉบับนี้ง่ายลงด้วย
สถานการณ์ที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ต่างกำลังปรับรื้อนโยบายและกฎหมายให้เอื้อประโยชน์และมุ่งเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ประเทศของตน บีบคั้นให้รัฐบาลจีน ต้องหันมากระชับความร่วมมือกับภาคเอกชนในประเทศ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่สัญชาติจีนที่มีทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีซึ่งสามารถต่อกรกับประเทศตะวันตก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ จีนได้มีการจัดเวทีพบปะระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้นำภาคเอกชน เพื่อรวมกำลังกันในการพัฒนาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ด้วยข้อได้เปรียบในระบบสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของจีน
เมื่อโลกมิได้เสรี ด้วยอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน แรงงาน เทคโนโลยี และข้อมูลได้ดังเดิม แต่เกิดการแบ่งขั้วภูมิภาค การปกป้องเทคโนโลยี การแยกห่วงโซ่การผลิต โดยมีประโยชน์ (ทางเศรษฐกิจและสังคม) ของประเทศตนเป็นที่ตั้ง ทำให้ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อโลกโดยรวม (โดยเฉพาะทางสิ่งแวดล้อม) จะถูกลำดับความสำคัญให้เป็นเรื่องรองอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ภาคธุรกิจ โดยสัญชาตญาณ มิได้ต้องการที่จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างขั้ว หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ฉุดรั้งการเติบโตของธุรกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหากำไร ฉะนั้น การปรับตัวเพื่อให้กิจการมีโอกาสในการสร้างรายได้ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด จึงเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจมุ่งหมายให้เกิดขึ้น
โดย 3 แนวโน้มสำคัญด้าน ESG ที่จะเกิดขึ้น นับจากปี ค.ศ. 2025 ได้แก่
1) หลายธุรกิจจะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะไปลดภาระการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้กิจกรรมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ต้องทำเพื่อสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มลดลง
2) ธุรกิจจะต้องมีความสามารถในการจัดทำกลยุทธ์องค์กรที่คำนึงถึงการเติบโตซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และพัฒนาขีดความสามารถในการเข้าถึงห่วงโซ่อุปทานโลกที่ไม่จำกัดขั้ว
3) การนำประเด็น ESG มาใช้เพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าจากกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย นอกเหนือจากการหารายได้กับกลุ่มลูกค้าจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการที่คำนึงถึงประเด็น ESG เพื่อนำไปสู่การสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น
เห็นได้ว่า ESG มิใช่เครื่องมือที่ใช้เพียงจัดการความเสี่ยง แต่สามารถใช้เพื่อสร้างโอกาสที่มากับปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) จากการใช้ประโยชน์ในประเด็นด้าน ESG ที่สอดคล้องกับบริบทของกิจการ เกิดเป็นผลดีทั้งกับกิจการและผู้มีส่วนได้เสียในลักษณะ “Who cares earns” (ยิ่งใส่ใจ ยิ่งได้รับ)
การดำเนินการดังกล่าว จำเป็นที่ธุรกิจต้องมีกระบวนทัศน์ (Paradigm) สำหรับใช้วางแนวขับเคลื่อนองค์กร ที่ซึ่งกิจการสามารถผนวกเรื่องความยั่งยืนเข้าเป็นเนื้อเดียวกับการดำเนินธุรกิจ โดยสถาบันไทยพัฒน์จะได้นำเสนอกรอบความคิดและทิศทาง ESG ที่ใช้ในการปรับแนวและจุดเน้นขององค์กรให้สอดรับกับขีดความสามารถของกิจการ เพื่อขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนอย่างมีสมรรถภาพในโอกาสต่อไป
[Original Link]